GAT KNOWLEDGE
ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง
อ. พญ.ศุภมาส เชิญอักษร
ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่มีอยู่ในนมและผลิตภัณฑ์จากนมได้ พบได้ประมาณร้อยละ 65-74 สาเหตุหลักเกิดจากร่างกายผลิตเอนไซม์แล็กเทส ที่ใช้ในการย่อยน้ำตาลแล็กโทสได้น้อยหรือไม่ได้เลย ไม่ได้เกิดจากการแพ้นมวัวซึ่งเป็นการแพ้โปรตีนในน้ำนมวัว
โดยปกติเอนไซม์แล็กเทสทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลแล็กโทสซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ที่ประกอบไปด้วยกาแล็กโทสกับกลูโคสให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวเพื่อให้ร่างกายดูดซึมและสามารถนำไปใช้ได้ เมื่อขาดเอนไซม์นี้ น้ำตาลแล็กโทสที่ไม่ถูกย่อยจะเคลื่อนผ่านไปยังลำไส้ใหญ่ และถูกหมักโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา โดยอาการมักจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลแล็กโทส อาการที่พบจะเป็นอาการที่เกิดในระบบทางเดินอาหารเท่านั้น ได้แก่ ท้องอืด ท้องเสีย ปวดท้อง หรือ ปวดเกร็งในช่องท้อง มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ผายลมบ่อย มีเสียงท้องร้องดังโครกคราก ภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ทำให้ไม่สบายตัวและรบกวนคุณภาพชีวิตได้
การผลิตเอนไซม์แล็กเทสที่ลดลงเป็นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
- พันธุกรรมและเชื้อชาติ นับเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีเชื้อสายเอเชีย แอฟริกา พบได้มากกว่ายุโรป
- อายุ โดยอายุที่มากขึ้นจะมีการสร้างแล็กเทสลดลงเองตามธรรมชาติ และจากข้อมูลพบว่าในวัยผู้ใหญ่การสร้างแล็กเทสจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 5-10 เมื่อเทียบกับวัยทารก
- การบาดเจ็บต่อเยื่อบุผนังลำไส้เล็กอาจทำให้การผลิตเอนไซม์ลดลงชั่วคราวหรือถาวรได้ เช่น การติดเชื้อ (โรตาไวรัส โนโรไวรัส) ยารักษามะเร็ง ยาปฏิชีวนะ การฉายแสง โรคโครห์น
การวินิจฉัยทำได้โดยการซักประวัติความสัมพันธ์ระหว่างอาการกับการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลแล็กโทส และผลการตรวจร่างกายที่ปกติโดยไม่จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันภาวะพร่องเอนไซม์แล็กเทส ซึ่งการตรวจอาจสามารถทำได้หลายอย่างแต่ยังไม่มีการตรวจใดที่เป็นมาตรฐาน
แนวทางการรักษา
เนื่องจากไม่มีวิธีที่จะทำให้ร่างกายเพิ่มการสร้างเอนไซม์แล็กเทสได้ การรักษาจึงเน้นไปในแนวทางการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร ได้แก่
- รับประทานแคลเซียมและวิตามินดีให้เพียงพอ เนื่องจากต้องหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์นมซึ่งเป็นแหล่งที่สำคัญของแคลเซียม จึงควรหาแหล่งแคลเซียมและวิตามินดีจากอาหารอื่น เช่น ผักใบเขียว หรืออาหารเสริม เพื่อรักษาสุขภาพกระดูก โดยแนะนำให้รับประทานแคลเซียม 700-1200 มิลลิกรัมต่อวัน
- ลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีแล็กโทส เช่น นม ชีส และผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ ในอดีตเรามักงดหรือเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลแล็กโทส ปัจจุบันไม่แนะนำให้งด เพียงแต่ลดปริมาณลง จากการศึกษาพบว่าปริมาณน้ำตาลแล็กโทสที่น้อยกว่า 12 กรัมหรือเท่ากับนม 1 แก้ว (240 ซีซี) มักไม่ก่อให้เกิดอาการ
- ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมเอนไซม์แล็กเทส สามารถรับประทานยาเม็ดหรือของเหลวที่มีเอนไซม์แล็กเทสเสริมก่อนมื้ออาหารที่มีนมเพื่อช่วยให้สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสได้
- ตรวจเพิ่มเติมหากอาการไม่ตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนอาหาร เช่น การเป่าลมหายใจ การตรวจทางพันธุกรรม เป็นต้น
ตัวอย่างอาหาร
|
อาหารแคลเซียมสูงและไม่มีแล็กโทส (มก. ของแคลเซียม/ส่วน) |
ผลิตภัณฑ์นมแล็กโทสต่ำ (กรัมของแล็กโทส/ส่วน) |
|
บร็อคโคลี 225 กรัม (60) |
นม 1 แก้ว (12-13) |
|
กุ้ง 85 กรัม (125) |
โยเกิร์ต 180 ซีซี (5-10) |
|
น้ำส้มเสริมอาหาร 120 ซีซี (150) |
เนย 1 ช้อนโต๊ะ (<0.1) |
|
นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ 240 ซีซี (300) |
Cheddar cheese 30 กรัม (<0.1) |
TH
EN




